หัวข้อ   “นักเศรษฐศาสตร์ช่วยคิดฝ่าวิกฤติประเทศไทย”
                 นักเศรษฐศาสตร์หนุนรัฐบาลเจรจาต่อแม้กลุ่ม นปช. จะปฎิเสธ พร้อมเตือนนักลงทุนหุ้นขึ้น
เป็นการเก็งกำไรในระยะสั้น

                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กร
ชั้นนำ 22 แห่ง เรื่อง “นักเศรษฐศาสตร์ช่วยคิดฝ่าวิกฤติประเทศไทย” พบว่า นักเศรษฐศาสตร์เสนอแนวทาง
ให้รัฐบาลใช้การเจรจาต่อกับกลุ่ม นปช. ต่อไป
โดยควรกำหนดกรอบเวลาในการเจรจาที่ชัดเจน และประกาศให้
ทุกฝ่ายรวมทั้งสาธารณชนรับรู้และเข้าใจ จากนั้นจึงยุบสภา พร้อมทั้งเสนอให้รัฐบาลอดทนต่อการยั่วยุของกลุ่ม นปช.
ด้านความเห็นในการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้นนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 54.7 ไม่เห็นด้วย เนื่องจากรัฐบาลที่
ตั้งขึ้นมาจะขาดเอกภาพ จะมีการขัดแย้งกันเองภายใน และไม่มีผู้นำที่ทุกฝ่ายยอมรับ ทำให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล
แห่งชาติอย่างแท้จริงได้ อีกทั้งจะทำให้การบริหารประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่มีฝ่ายตรวจสอบ และรัฐบาล
ปัจจุบันยังทำงานได้

                 นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 51.6 ยังมองการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่ง
ประเทศไทยในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ว่าเป็นการปรับขึ้นเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น
เพราะความเสี่ยง
ทางการเมืองยังมีอยู่ โดยคาดว่า SET Index ระดับสูงสุดของปีนี้จะอยู่ที่ 800-810 จุด

                 สำหรับปัญหาความเดือดร้อนของชาวนาจากการที่ราคาข้าวตกต่ำและชาวนาบางส่วนเรียกร้องให้มี
การนำระบบการรับจำนำข้าวมาใช้อีกครั้งนั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 51.6 ยังคงสนับสนุนรัฐบาลให้ใช้
วิธีการประกันรายได้เกษตรกร(ประกันราคาข้าว)
เนื่องจาก รัฐบาลจะมีรายจ่ายจากการอุดหนุนต่ำ ไม่มีปัญหา
ด้านการบริหารจัดการ ลดการทุจริต ในส่วนของเกษตรกรก็จะมีหลักประกันด้านรายได้ที่แน่นอน สามารถวางแผนการ
เพาะปลูกได้เนื่องจากสามารถคำนวณต้นทุนและรายได้ได้ อีกทั้งผลประโยชน์ดังกล่าวยังครอบคลุมจำนวนชาวนา
ได้มากกว่า

                 (โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
 
             1. ความเห็นต่อวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำของรัฐบาล

 
ร้อยละ
สนับสนุนวิธีการประกันรายได้เกษตรกร (ประกันราคาข้าว)
เนื่องจาก  

         (1) รัฐบาลมีรายจ่ายจากการอุดหนุนต่ำ ไม่มีปัญหาด้านการ
              บริหารจัดการ ลดการทุจริต
         (2) เกษตรกรมีหลักประกันด้านรายได้ และสามารถวางแผน
              การเพาะปลูกได้เนื่องจากสามารถคำนวณต้นทุนและ
              รายได้ อีกทั้งยังครอบคลุมจำนวนชาวนาได้มาก
         (3) ราคาประกันจะสะท้อนถึงต้นทุนการผลิตที่แท้จริงและอิง
              กับราคาข้าวในตลาดโลก และมีการบิดเบือนกลไกตลาด
              น้อย

51.6
สนับสนุนวิธีการจำนำข้าว
เนื่องจาก
         (1) เป็นการให้สิทธิในการเลือกมากกว่าการประกันราคา
         (2) เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนของชาวนาในเบื้องต้น
              และภาครัฐน่าจะเป็นตัวกลางในการหาช่องทาง
              ส่งออกข้าวในตลาดใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือที่
              ยั่งยืนมากขึ้น
4.6
วิธีการอื่นๆ
เช่น
         (1) การจัดการอุปทานด้วยการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก และ
              จับมือกับ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามเพื่อควบคุม
              ราคาในตลาดโลก
         (2) การจัดการด้านอุปสงค์ด้วยการระบายข้าวในสต็อก
              แบบรัฐต่อรัฐ Road Show สินค้าข้าวในตลาดต่าง
              ประเทศ ทำการตลาดชุมชน
         (3) การขาย Put Options ให้กับชาวนา (การให้สิทธิ
              การขายแก่ผู้ถือสัญญา)
         (4) การประกันรายได้ของผู้มีรายได้ขั้นต่ำ หรือในระดับ
              พอยังชีพ
         (5) ปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด
25.0
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
18.8
 
 
             2. ความเห็นต่อประเด็น การปรับขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงการชุมนุม
                 ของกลุ่ม นปช. เป็นการปรับเพิ่มขึ้นในลักษณะใด

 
ร้อยละ
เชื่อว่าเป็นการปรับขึ้นเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น เพราะความเสี่ยง
ทางการเมืองยังมีอยู่ โดยคาดว่า SET Index ระดับสูงสุดของปีนี้
จะอยู่ที่ 800-810 จุด
51.6
เชื่อว่าเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในระยะยาวตามข้อมูลเศรษฐกิจของไทย และ
การชุมนุมที่สามารถควบคุมได้ โดยคาดว่า SET Index ระดับสูงสุดของปีนี้
จะอยู่ที่ 840-850 จุด
34.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
14.0
 
 
             3. ความเห็นต่อประเด็น แนวคิดการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

 
ร้อยละ
ไม่เห็นด้วย
เนื่องจาก  

         (1) รัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาจะขาดเอกภาพ จะมีการขัดแย้งกันเอง
              ภายใน ไม่มีผู้นำที่ทุกฝ่ายยอมรับ และจะไม่สามารถจัดตั้ง
              รัฐบาลแห่งชาติอย่างแท้จริงได้
         (2) เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด กล่าวคือ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่
              ระบบแต่อยู่ที่ตัวบุคคลไม่ยอมรับกฎกติกาทางสังคม
              การทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือกลุ่มของตัวเอง และ
              การแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง
         (3) จะบริหารประเทศลำบากมาก ควรมีฝ่ายตรวจสอบ ไม่ใช่
              วิถีแห่งประชาธิปไตย และรัฐบาลปัจจุบันยังทำงานได้

54.7
เห็นด้วย
เนื่องจาก
        ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเกิดจากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับกัน และ
ไม่ได้ใช้เหตุผลในการพูดคุยกัน ดังนั้น การมีคนกลางจะช่วยลดความ
ขัดแย้งลง จากนั้นจึงตั้งกติกาใหม่ที่ทุกฝ่ายยอมรับ แล้วเข้าสู่
กระบวนการเลือกตั้งโดยเร็ว
14.0
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
31.3
 
 
             4. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองต่อรัฐบาล

 
ร้อยละ
เสนอให้แก้ด้วยวิธี
เนื่องจาก  

         (1) เจรจาเพื่อร่วมกันหาทางออก โดยกำหนดกรอบเวลา
              ที่ชัดเจน ที่ทุกฝ่ายรวมทั้งสาธารณชนรับรู้และเข้าใจ
              จากนั้นจึงยุบสภา
         (2) ขอให้รัฐบาลประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับ
              ประชาชน อย่างต่อเนื่อง และอดทนต่อการยั่วยุของ
              กลุ่ม นปช.
         (3) ดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด(นิติรัฐ)

34.4
ไม่ตอบ (แต่ทราบและมีความคิดอยู่ในใจ)
29.7
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
35.9
 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์:
                  1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรง
                      ไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
                  2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์
                      สูงสุดกับประเทศไทย
 
กลุ่มตัวอย่าง:
                        เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
               (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใด
               อย่างหนึ่ง  จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้
               ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี)  ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจ
               ระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 22 แห่ง ได้แก่   ธนาคารแห่งประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
               การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง   สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
               สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม   สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า   ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
               บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย   ธนาคารไทยพาณิชย์   ธนาคารธนชาต   ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก
               แห่งประเทศไทย   ธนาคารกรุงไทย   บริษัททริสเรทติ้ง   บริษัทหลักทรัพย์ภัทร   บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส
               บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ   บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน   บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน   คณะเศรษฐศาสตร์
               มหาวิทยาลัยทักษิณ   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และ
               นักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                        รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายใน
               ระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 25 - 30 มีนาคม 2553
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 2 เมษายน 2553
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
32
50.0
             หน่วยงานภาคเอกชน
21
32.8
             สถาบันการศึกษา
11
17.2
รวม
64
100.0
เพศ:    
             ชาย
31
48.4
             หญิง
33
51.6
รวม
64
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
1
1.5
             26 – 35 ปี
33
51.6
             36 – 45 ปี
18
28.1
             46 ปีขึ้นไป
12
18.8
รวม
64
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
4
6.3
             ปริญญาโท
50
78.1
             ปริญญาเอก
10
15.6
รวม
64
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
13
20.3
             6 - 10 ปี
22
34.4
             11 - 15 ปี
8
12.5
             16 - 20 ปี
10
15.6
             ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
11
17.2
รวม
64
100.0
 
Vote:  ดีมาก(5) ดี (4) ปานกลาง(3) พอใช้ (2) แย่ (1)  
 ผลคะแนนVote              
 
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776