หัวข้อ   “ดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทย”
                 นักเศรษฐศาสตร์เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะยังคงมีทิศทางที่ดีขึ้นโดยเฉพาะ
ภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการส่งออกจะเริ่มแผ่ว พร้อมระบุเห็นด้วยกับบริการรถเมล์รถไฟฟรีระยะยาว


                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่
ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์  วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ  จำนวน 25 แห่ง   เรื่อง “ดัชนีคาดการณ์
เศรษฐกิจไทย
” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 9 - 12 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่า

                 ดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม 53) อยู่ที่ 72.19 ซึ่งเป็นระดับที่
สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน (กรกฎาคม 53)   ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นต่อสถานะทางเศรษฐกิจของไทย
ในปัจจุบัน (กรกฎาคม 53)  ว่ายังคงอยู่ในสถานะที่อ่อนแอเห็นได้จากค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 42.16   ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่า
50 (ตารางในข้อ 1)

                 เมื่อพิจารณาในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้าพบว่านักเศรษฐศาสตร์
มีมุมมองเชิงบวก เห็นได้จากค่าดัชนีคาดการณ์ฯ ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 50 ในทุกปัจจัย   โดยเฉพาะปัจจัยด้าน
การท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นค่อนข้างมากว่าจะปรับตัวดีขึ้น (ค่าดัชนีเท่ากับ
81.88)   รองลงมาเป็นปัจจัยการบริโภคภาคเอกชน   การลงทุนภาคเอกชน  และการใช้จ่ายและการลงทุน
ภาครัฐ   ในขณะที่ปัจจัยด้านการส่งออกแม้ว่าค่าดัชนีคาดการณ์ฯ จะอยู่ในระดับ 63.57   ซึ่งเป็นระดับที่สูง
กว่า 50   แต่ค่าดัชนีก็อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยขับเคลื่อนอื่นจึงอาจสื่อให้เห็นว่าบทบาท
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการส่งออกในอีก 3 เดือนข้างหน้าอาจปรับตัวลดลง


                 ด้านสถานะในปัจจุบันของแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ   นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่   เชื่อว่าภาคการ
ส่งออกในปัจจุบันยังคงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง   และมีมุมมองต่อการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐและการบริโภคภาค
เอกชนว่าอยู่ในสถานะปกติ ส่วนมุมมองต่อการท่องเที่ยวจากต่างประเทศและการลงทุนภาคเอกชน   นักเศรษฐศาสตร์
ส่วนใหญ่มองว่าอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ

                 สำหรับการประเมินสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือน
ข้างหน้า   พบว่า   ปัจจัยที่จะส่งผลด้านลบที่สำคัญคือ วิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรป (ร้อยละ 61.4)

รองลงมาเป็นปัญหาด้านการเมือง (ร้อยละ 42.9)  ตามด้วยเศรษฐกิจโลกโดยภาพรวม (ร้อยละ 38.6)   ส่วนปัจจัยที่
จะส่งผลด้านบวกที่สำคัญคือความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ร้อยละ 61.4)
  รองลงมาเป็นความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ
(ร้อยละ 58.6)  ตามด้วยการปรับค่าเงินหยวนของจีน (ร้อยละ 50.0)

                 สำหรับความเห็นเกี่ยวกับ แนวคิดของรัฐบาลที่จะปรับเปลี่ยนมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพของ
ประชาชนมาเป็นการให้บริการสังคมฟรีระยะยาวนั้น   นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 51.4 เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว
ในจำนวนนี้ เห็นด้วยกับมาตรการรถเมล์ฟรีมากที่สุด (ร้อยละ 21.7)   รองลงมาเป็นมาตรการรถไฟฟรี
(ร้อยละ 20.3)   และค่าไฟฟ้าฟรี (ร้อยละ 9.4) ตามลำดับ
ขณะที่ร้อยละ 40.0 ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว

                 นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ข้อเสนอแนะด้านเศรษฐกิจ โดยในระยะสั้น (ภายใน 1 ปี) เสนอให้
รัฐบาลรักษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ก่อน และทำการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามแผนที่วางไว้   ส่วน
นโยบายการเงินนั้นเสนอให้รักษาระดับอัตราดอกเบี้ยต่ำไว้อีกสักระยะก่อน นอกจากนี้ เสนอให้ตัดโครงการประชานิยม
ที่ไม่ส่งผลต่อประชาชนที่เดือดร้อนจริงแต่ควรให้โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและปัจจัยการผลิตมากกว่า ส่วน
ระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) เสนอให้ ดำเนินการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วยการสร้างความ เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
ผ่านแนวทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น   การกระจายรายได้ที่เป็นธรรม   การนำระบบรัฐสวัสดิการมาใช้   การส่งเสริมภาค
การเกษตร   การสร้างงานในท้องถิ่นเพื่อลดการเคลื่อนย้ายคนเข้าเมือง เป็นต้น  ซึ่งผลที่ตามมานอกจากความเหลื่อมล้ำ
ที่ลดลงแล้วยังจะช่วยเพิ่มอำนาจซื้อของคนในประเทศ   อันจะช่วยลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศได้อีกด้วย

                 (โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
 
             1. ปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน และคาดการณ์อนาคตอีก 3 เดือนข้างหน้า

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สถานะทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ดัชนีคาดการณ์
เศรษฐกิจในอีก
3 เดือนข้างหน้า
อ่อนแอ
(%)
ปกติ
(%)
แข็งแกร่ง
(%)
ค่าดัชนี
1) การบริโภคภาคเอกชน
30.4
60.9
8.7
39.13
79.29
2) การลงทุนภาคเอกชน
57.4
36.8
5.9
24.26
71.01
3) การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
7.4
69.1
23.5
58.09
65.22
4) การส่งออกสินค้า
8.7
30.4
60.9
76.09
63.57
5) การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
77.9
17.6
4.4
13.24
81.88
ดัชนีรวม
42.16
72.19

** หมายเหตุ : ค่าดัชนีจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 - 100 โดย


                 ค่าดัชนีเท่ากับ 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะปกติ
(สำหรับสถานะปัจจุบัน)  หรือหมายถึง   นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ เดิม/ไม่เปลี่ยนแปลง (สำหรับการ
คาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า)

                
ค่าดัชนีสูงกว่า 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะ
แข็งแกร่ง (สำหรับสถานะปัจจุบัน)  หรือหมายถึง   นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ ดีขึ้น  (สำหรับการคาด
การณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า)

                
ค่าดัชนีต่ำกว่า 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ในสถานะ
อ่อนแอ (สำหรับสถานะปัจจุบัน)  หรือหมายถึง   นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ แย่ลง  (สำหรับการคาด
การณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า)
 
 
             2. สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในแต่ละส่วนต่อไปนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า

ส่งผลด้านลบ
อันดับ 1 : วิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรป
ร้อยละ  61.4
อันดับ 2 : ปัญหาด้านการเมือง
ร้อยละ  42.9
อันดับ 3 : เศรษฐกิจโลกโดยภาพรวม
ร้อยละ  38.6
ไม่ส่งผลกระทบ(ทั้งด้านลบและด้านบวก)
อันดับ 1 : อัตราเงินเฟ้อทั่วไป
ร้อยละ  60.0
อันดับ 2 : อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท
ร้อยละ  58.6
อันดับ 3 : อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์
ร้อยละ  52.9
อันดับ 4 : ราคาน้ำมันโดยภาพรวม
ร้อยละ  51.4
ส่งผลด้านบวก
อันดับ 1 : ความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ร้อยละ  61.4
อันดับ 2 : ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ
ร้อยละ  58.6
อันดับ 3 : การปรับค่าเงินหยวนของจีน
ร้อยละ  50.0
 
 
             3. ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการปรับเปลี่ยนมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน
                 (ซึ่งเพิ่งมีการต่ออายุถึงสิ้นปี 53) มาเป็นการให้บริการสังคมฟรีระยะยาว


 
ร้อยละ
ไม่เห็นด้วยในทุกโครงการ
40.0
เห็นด้วย
โดย
  เห็นด้วยกับมาตรการรถเมล์ฟรี ร้อยละ 21.7
  เห็นด้วยกับมาตรการรถไฟชั้น 3 ฟรี ร้อยละ 20.3
  เห็นด้วยกับมาตรการค่าไฟฟ้าฟรี ร้อยละ 9.4
51.4
ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ
8.6
 
 
             4. ข้อเสนอแนะประเด็นเศรษฐกิจต่อรัฐบาล

ข้อเสนอระยะสั้น (ภายใน 1 ปี)
  อันดับ 1
            รักษามาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ก่อน และทำการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ
            ให้ได้ตามแผนที่วางไว้   ในส่วนนโยบายการเงินนั้นเสนอให้รักษาระดับอัตรา
            ดอกเบี้ยต่ำไว้อีกสักระยะก่อน   นอกจากนี้ เสนอให้ตัดโครงการประชานิยมที่ไม่
            ส่งผลต่อประชาชนที่เดือดร้อนจริงแต่ควรให้โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและ
            ปัจจัยการผลิตมากกว่า
  อันดับ 2
            เร่งสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางด้านการเมือง   จัดทำและดำเนินแผน
            ปรองดองอย่างเป็นรูปธรรม   รวมทั้งช่วยเหลือผู้เดือดร้อนที่ได้รับผลกระทบจาก
            ความไม่สงบทางการเมือง
  อันดับ 3
            กระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน   ทั้งชาวไทยและชาว
            ต่างประเทศ   รวมถึงการสร้างอาชีพสร้างงานในท้องถิ่น

ข้อเสนอระยะยาว (มากกว่า 1 ปี)
  อันดับ 1
            ลดความเหลื่อมล้ำด้วยการสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจผ่านแนวทางต่างๆ
            ไม่ว่าจะเป็น   การกระจายรายได้ที่เป็นธรรม   การนำระบบรัฐสวัสดิการมาใช้
            การส่งเสริมภาคการเกษตร การสร้างงานในท้องถิ่นลดการเคลื่อนย้ายคนเข้าเมือง
            เป็นต้น  ผลที่ตามมานอกจากความเหลื่อมล้ำที่ลดลงแล้วอำนาจซื้อของคนใน
            ประเทศจะเพิ่มขึ้น   อันจะช่วยลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ
  อันดับ 2
            พัฒนาศักยภาพของประเทศ ด้วยการพัฒนาการศึกษา พัฒนาคน ลดการคอร์รัปชัน
            และพัฒนาปัจจัยด้านการเมืองไปพร้อมๆ กัน   นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการจัดการ
            แรงงานภาคอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แรงงานต่างด้าว
            รวมถึงฐานข้อมูลแรงงาน
  อันดับ 3
            พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ   เช่น  ระบบชลประทานเพื่อการเกษตร
            เครือข่ายคมนาคม   ระบบโลจิสติกส์   พลังงานทดแทนรวมถึงพลังงานนิวเคลียร์
            เป็นต้น
 

** หมายเหตุ:  รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้   เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                     นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์:
                  1. เพื่อสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อสถานะทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันและทิศทางในอนาคต
                      อีก 3 เดือนข้างหน้า
                  2. เพื่อทราบสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจว่าจะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า
                  3. เพื่อสะท้อนข้อเสนอแนะประเด็นเศรษฐกิจของนักเศรษฐศาสตร์ไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
กลุ่มตัวอย่าง:
                        เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
               (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใด
               อย่างหนึ่ง  จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้
               ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี)  ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจ
               ระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 25 แห่ง ได้แก่   ธนาคารแห่งประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
               การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง   สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร   สำนักงาน
               เศรษฐกิจอุตสาหกรรม   สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า   สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
               ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา   ธนาคารไทยพาณิชย์   ธนาคารธนชาต   ธนาคารนครหลวงไทย
               ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย   ธนาคารกรุงไทย   บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย
               บริษัทหลักทรัพย์ภัทร   บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส   บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ   บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน
               บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน  บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า   บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส   คณะเศรษฐศาสตร์
               มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์
               และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                        รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายใน
               ระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 9 - 12 กรกฎาคม 2553
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 14 กรกฎาคม 2553
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
36
51.4
             หน่วยงานภาคเอกชน
24
34.3
             สถาบันการศึกษา
10
14.3
รวม
70
100.0
เพศ:    
             ชาย
38
54.3
             หญิง
32
45.7
รวม
70
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
1
1.4
             26 – 35 ปี
34
48.6
             36 – 45 ปี
20
28.6
             46 ปีขึ้นไป
15
21.4
รวม
70
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
2
2.9
             ปริญญาโท
54
77.1
             ปริญญาเอก
14
20.0
รวม
70
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
18
25.7
             6 - 10 ปี
21
30.0
             11 - 15 ปี
7
10.0
             16 - 20 ปี
9
12.9
             ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
15
21.4
รวม
70
100.0
 
Vote:  ดีมาก(5) ดี (4) ปานกลาง(3) พอใช้ (2) แย่ (1)  
 ผลคะแนนVote              
 
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776