หัวข้อ   “ประชาชนต้องการให้เดินหน้าอย่างไรเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)  สำรวจความคิดเห็นประชาชน
1,249 คน  จาก 21 จังหวัดในทุกภาคของประเทศ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่
คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มี ศ.ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงษ์ เป็น
ประธาน ซึ่งได้เสนอแนวคิดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันใน
ประเด็นต่างๆ ตามที่ได้มีการแถลงเมื่อวันที่ 18 และ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา ผลสำรวจพบว่า
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
 
                 ประชาชนเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะอนุกรรมการ ฯ เกือบทุกประเด็น ได้แก่
                         - เรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ให้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากเป็นอันดับ 1
ได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน (เห็นด้วยร้อยละ 85.2)
                         - เรื่องการยุบพรรคการเมือง ในกรณีทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ตามมาตรา
237 โดยกำหนดให้ลงโทษเฉพาะผู้กระทำผิด ถ้าผู้สมัครทำผิด ให้ตัดสิทธิทางการเมืองของ
ผู้สมัคร 5 ปี ถ้ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นให้ตัดสิทธิ 10 ปี และถ้าหัวหน้าพรรคมีส่วน
รู้เห็นให้ตัดสิทธิ 15 ปี โดยไม่ต้องยุบพรรคการเมือง (เห็นด้วยร้อยละ 73.0)
                         - แยกฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดให้
คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจาก ส.ส.ก่อน (เห็นด้วยร้อยละ 72.6)
                         - การเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต ให้กลับไปใช้ระบบเขตเดียวเบอร์เดียว
เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 (เห็นด้วยร้อยละ 69.7)
                         - การเลือกตั้ง ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ให้กลับไปใช้รูปแบบบัญชีเดียว
ทั่วประเทศโดยไม่แบ่งเป็นเขตภาค (เห็นด้วยร้อยละ 59.4)
                         - ที่มาของ ส.ส. ตามมาตรา 93-98 เสนอให้มี ส.ส.จำนวน 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.ระบบแบ่งเขต
375 คน และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 125 คน (เห็นด้วยร้อยละ 56.1)
 
                 ส่วน ประเด็นเรื่องการสังกัดพรรคการเมือง ที่เสนอให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ต้องสังกัดพรรค และสมาชิกพรรค
ไม่จำเป็นต้องฟังมติพรรคนั้นส่วนใหญ่ร้อยละ 52.8 ไม่เห็นด้วย (ดังรายละเอียดในตารางที่ 1 )
   
                 สำหรับสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 74.6) ต้องการให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ดำเนินการหลังได้รับรายงาน
สรุปแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมการฯ แล้ว คือให้ทำประชามติเพื่อถามความเห็นจากประชาชนก่อน
โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 34.5 ต้องการให้ทำประชามติภายใน 3 เดือน    ทั้งนี้ประชาชนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 72.9) ระบุว่า
หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ  จะส่งผลในทางบวกต่อการเมืองไทย เช่น เกิดการพัฒนา
ทางการเมือง  ทำให้ประเทศไทยมีความสมานฉันท์ ฯลฯ
   
                 เมื่อถามว่าบรรยากาศทางการเมืองในช่วงเวลานี้เหมาะสมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ประชาชนร้อยละ
46.0 ระบุว่าไม่แน่ใจ  ในขณะที่ร้อยละ 27.8 เห็นว่ายังไม่เหมาะสม เพราะปัจจุบันยังมีความคิดต่างกันอยู่ อาจทำให้เกิด
ความขัดแย้งขึ้นมาอีก และควรให้ความรู้แก่ประชาชนก่อน ขณะที่ร้อยละ 26.2 เห็นว่าเหมาะสม เพราะสถานการณ์บ้านเมือง
คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว และการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะช่วยให้การเมืองมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
   
                 โปรดพิจารณารายละเอียดต่อไปนี้
 
             1. ความคิดเห็นต่อข้อเสนอของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มี
                 ศ.ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงษ์ เป็นประธาน ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ในประเด็นต่างๆ
                 พบว่า


ประเด็นที่เสนอให้มีการแก้ไข
เห็นด้วย
ไม่เห็นด้วย
1) เรื่องการจัดตั้งรัฐบาล
    ให้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากเป็นอันดับ 1 ได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน
85.2
14.8
2) เรื่องการยุบพรรคการเมืองในกรณีทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
    ตามมาตรา 237
    โดยกำหนดให้ลงโทษเฉพาะผู้ที่กระทำผิด ถ้าผู้สมัครทำผิดให้ตัดสิทธิ
    ทางการเมืองของผู้สมัคร 5 ปี ถ้ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นให้
    ตัดสิทธิ 10 ปี และถ้าหัวหน้าพรรคมีส่วนรู้เห็นให้ตัดสิทธิ 15 ปี
    โดยไม่ต้องยุบพรรคการเมือง(เปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันที่ตัดสินให้
    ยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมืองของหัวหน้าพรรคและกรรมการ
    บริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี)
73.0
27.0
3) แยกฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเด็ดขาด
    โดยกำหนดให้คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจาก ส.ส.ก่อน
    (เปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันที่รัฐมนตรีไม่ต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.
    เมื่อรับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี)
72.6
27.4
4) การเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต
    ให้กลับไปใช้ระบบเขตเดียวเบอร์เดียวเหมือนรัฐธรรมนูญ ปี 2540
    (เปลี่ยนจากปัจจุบันที่ใช้ระบบเขตใหญ่เรียงเบอร์)
69.7
30.3
5) การเลือกตั้ง ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ
    ให้มีจำนวน 125 คน โดยให้กลับไปใช้รูปแบบบัญชีเดียวทั่วประเทศ
    โดยไม่แบ่งเป็นเขตภาค (เปลี่ยนจากปัจจุบันที่มีจำนวน 80 คน
    โดยใช้ระบบสัดส่วน แบ่งเป็น 8 ภูมิภาค ภูมิภาคละ 10 คน)
59.4
40.6
6) ที่มาของ ส.ส. ตามมาตรา 93-98
    เสนอให้มี ส.ส.จำนวน 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.ระบบแบ่งเขต
    375 คน และ ระบบบัญชีรายชื่อ 125 คน (เปลี่ยนจากปัจจุบันที่มี
    จำนวน ส.ส.ทั้งหมด 480 คน แยกเป็น ส.ส.ระบบแบ่งเขต 400 คน
    และ ส.ส.สัดส่วน 80 คน)
56.1
43.9
7) เรื่องการสังกัดพรรคการเมือง
    ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ต้องสังกัดพรรค และสมาชิกพรรคไม่ต้องฟัง
    มติพรรค (เปลี่ยนจากปัจจุบันที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นสมาชิก
    พรรคการเมืองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 90 วัน ยกเว้นการยุบสภาต้องเป็น
    สมาชิกพรรคการเมืองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30 วัน)
47.2
52.8
 
 
             2. สิ่งที่ต้องการให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ดำเนินการหลังจากได้รับรายงานสรุปแนวทางการแก้ไข
                 รัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่กล่าวมาจากคณะกรรมการฯ คือ


 
ร้อยละ
ให้ทำประชามติ เพื่อถามความเห็นจากประชาชนก่อน
โดยระบุให้ทำภายในระยะเวลา
  • 3 เดือน
ร้อยละ  34.5
  • 6 เดือน
ร้อยละ  27.2
  • 9 เดือน
ร้อยละ   3.5
  • 1 ปี
ร้อยละ   7.2
  • อื่นๆ ได้แก่ ให้ทำทันที  ทำให้ทันสมัยของ
    รัฐบาลชุดปัจจุบัน
ร้อยละ   2.2
74.6
ให้สภาฯ พิจารณาและลงมติทันทีโดยไม่ต้องทำประชามติ
15.5
ให้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกรอบ
9.9
 
 
             3. ประชาชนมีความเห็นว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ
                 ในประเด็นต่างๆ ข้างต้น จะส่งผลต่อการเมืองไทย คือ


 
ร้อยละ
ส่งผลในทางบวก
เชื่อว่าจะ
  • เกิดการพัฒนาทางการเมืองไทย
ร้อยละ  20.1
  • ทำให้ประเทศไทยมีความสมานฉันท์
ร้อยละ  18.1
  • ทำให้ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ร้อยละ  15.8
  • เปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้ความสามารถ
    เข้ามาทำงานการเมือง
ร้อยละ  15.3
  • สามารถลด / แก้ปัญหา การซื้อสิทธิ
    ขายเสียงได้
ร้อยละ   3.6
72.9
เหมือนเดิม
เชื่อว่าจะ
  • นักการเมืองยังคงนึกถึงประโยชน์ของ
    ตนเองและพวกพ้องเป็นหลัก
ร้อยละ   9.2
  • นักการเมืองและคนไทยบางกลุ่มยัง
    แบ่งข้างแบ่งสีกันอยู่
ร้อยละ   3.8
  • ได้ ส.ส.หน้าเดิมๆ จากพรรคการเมืองเดิม
ร้อยละ   1.8
14.8
ส่งผลในทางลบ
เชื่อว่าจะ
  • เป็นชนวนทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น
ร้อยละ   7.4
  • เกิดปัญหาการซื้อสิทธิ ขายเสียง เพิ่มขึ้น
ร้อยละ   1.9
  • ทำให้การอนุมัติโครงการเพื่อพัฒนาประเทศ
    ล่าช้า
ร้อยละ   1.6
  • ได้รัฐบาลผูกขาดพรรคเดียว
ร้อยละ   1.4
12.3
 
 
             4. เมื่อถามถึงบรรยากาศทางการเมืองในช่วงเวลานี้ว่าเหมาะสมที่จะทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
                 พบว่า


 
ร้อยละ
เห็นว่าไม่เหมาะสม
           ( โดยให้เหตุผลว่า ปัจจุบันยังมีความคิดต่างกันอยู่ อาจทำให้
             เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก และควรให้ความรู้แก่ประชาชนก่อน
             ฯลฯ )
27.8
เห็นว่าเหมาะสม
           ( โดยให้เหตุผลว่า สถานการณ์บ้านเมืองคลี่คลายไปในทาง
             ที่ดีขึ้นแล้ว ช่วยให้การเมืองมีความชัดเจนยิ่งขึ้น และบ้านเมือง
             เริ่มสงบแล้ว ฯลฯ )
26.2
ไม่แน่ใจ
46.0
 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
ระเบียบวิธีการสำรวจ:
                  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ใน
กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆ  จากทั่วทุกภาคของประเทศ จำนวน 21 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น จันทบุรี
ฉะเชิงเทรา เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา พะเยา ภูเก็ต
เพชรบูรณ์ ระนอง ราชบุรี สงขลา สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี   โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลาย
ขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,249 คน เป็นเพศชายร้อยละ 50.8 และเพศหญิง ร้อยละ 49.2
 
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error):
                  ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) และการสุ่มโทรศัพท์สัมภาษณ์ เครื่องมือที่ใช้
ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal)
และคำถามปลายเปิด (Open Form) จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์
ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 28 - 31 สิงหาคม 2553
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 3 กันยายน 2553
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
เพศ:    
             ชาย
635
50.8
             หญิง
614
49.2
รวม
1,249
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
311
24.8
             26 – 35 ปี
342
27.4
             36 – 45 ปี
308
24.7
             46 ปีขึ้นไป
288
23.1
รวม
1,249
100.0
การศึกษา:
 
 
             ต่ำกว่าปริญญาตรี
658
52.7
             ปริญญาตรี
536
43.0
             สูงกว่าปริญญาตรี
55
4.3
รวม
1,249
100.0
อาชีพ:
 
 
             ข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ
174
13.9
             พนักงาน / ลูกจ้างบริษัทเอกชน
316
25.3
             ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว
371
29.8
             รับจ้างทั่วไป
122
9.7
             พ่อบ้าน / แม่บ้าน / เกษียณอายุ
52
4.2
             อื่นๆ อาทิ นิสิตนักศึกษา อาชีพอิสระ ว่างงาน
214
17.1
รวม
1,249
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776