หัวข้อ   “นโยบายบริหารจัดการราคาสินค้าของรัฐบาล”
                 นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 46.2 ประเมินรัฐบาลบริหารจัดการแก้ปัญหา
ราคาสินค้าได้แค่ระดับพอใช้   ขณะที่ร้อยละ 44.6 ประเมินว่าอยู่ในระดับค่อนข้าง
แย่ถึงแย่มาก  
                 ร้อยละ 61.6 มองการตรึงราคาน้ำมันดีเซลมาไม่ถูกทาง พร้อมเสนอ
3 แนวทางแก้ปัญหา
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
 
                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็น
นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของ
ประเทศ 24 แห่ง จำนวน 65 คน เรื่อง “
นโยบายบริหารจัดการราคาสินค้าของรัฐบาล
โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค. ที่ผ่านมา พบว่า
 
                 นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 73.9  ประเมินว่าปัญหาราคาสินค้าที่ปรับตัว
เพิ่มขึ้นในปัจจุบันมีความรุนแรงจัดอยู่ในระดับปานกลาง และนักเศรษฐศาสตร์
มากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 53.8)  มองว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจไทยมีโอกาส
เข้าสู่ภาวะ Stagflation
  หรือ ภาวะเศรษฐกิจที่ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นพร้อมๆ กับ
การชะลอตัวของเศรษฐกิจหรือมีการว่างงานเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 46.2
ได้ประเมินความสามารถด้านการบริหารจัดการและแก้ปัญหาราคาสินค้าของรัฐบาลอยู่ในระดับแค่พอใช้   ขณะที่
ร้อยละ 44.6 มองว่าอยู่ในระดับค่อนข้างแย่ถึงแย่มาก
มีเพียงร้อยละ 9.2 เท่านั้นที่มองว่าอยู่ในระดับค่อนข้างดี
 
                 เมื่อสอบถามถึงความเห็นเกี่ยวกับ การดำเนินนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตรจนถึง
สิ้นเดือนเมษายนนี้   นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 61.6 มองว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ไม่ถูกทาง พร้อมทั้งเสนอ
แนวทางที่เหมาะสมสำหรับใช้ในช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
  คือ แนวทางที่ 1 ปล่อยให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหว
ตามกลไกตลาด    แนวทางที่ 2 ทยอยลดการอุดหนุนราคาน้ำมันเป็นขั้นๆ จนเท่ากับราคาตลาดในระยะเวลาที่เหมาะสม
และ แนวทางที่ 3 ปล่อยให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดพร้อมกับการอุดหนุนบางส่วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับ
ราคาน้ำมันในตลาดโลก
 
                 ส่วนความเห็นเกี่ยวกับการที นายกฯอภิสิทธิ์ จะนำแนวคิดในการปรับเพิ่มค่าแรงเพื่อสร้างความ
สมดุลให้ทันกับราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น (ทฤษฏี 2 สูง ของคุณธนินท์ เจียรวนนท์) มาใช้เพื่อลดผลกระทบ
ที่จะเกิดกับประชาชน นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 46.2 ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว
  โดยให้เหตุผลว่าจะทำให้
เกิดการคาดการณ์เงินเฟ้อ และทำให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น  อีกทั้งแรงงานบางส่วนทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น
การเพิ่มค่าแรงจะทำให้ผู้ประกอบการลดการจ้างงานกับแรงงานกลุ่มดังกล่าว  แล้วหันไปจ้างแรงงานต่างด้าว ดังนั้น
หากจะเพิ่มค่าแรงควรเพิ่มเฉพาะแรงงานทำงานมีประสิทธิภาพสูงเท่านั้น  ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของ
สินค้าไทยเพิ่มขึ้น
 
                 สำหรับความเห็นเกี่ยวกับการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อนั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 66.2 เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว
  โดยให้
เหตุผลว่า เป็นการช่วยชะลอการปรับเพิ่มของเงินเฟ้อที่เกิดจากด้านอุปสงค์ ทำให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพ
รวมถึงทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ   อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณให้เอกชนรับทราบ ป้องกันการเกิด
เงินเฟ้อในรอบที่สอง
 
                 (โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
 
       ตารางที่ 1   ความเห็นเกี่ยวกับระดับความรุนแรงของปัญหาราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

 
ร้อยละ
รุนแรงมาก
13.8
รุนแรงปานกลาง
73.9
ไม่รุนแรง
10.8
ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ
1.5
 
 
       ตารางที่ 2   ความเห็นเกี่ยวกับโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation หรือ ภาวะเศรษฐกิจ
                       ที่ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นพร้อมๆ กับการชะลอตัวของเศรษฐกิจหรือมีการว่างงาน
                       เพิ่มขึ้น ในช่วง 1-2 ปีนี้

 
ร้อยละ
มีโอกาส
53.8
ไม่มีโอกาส
40.0
ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ
6.2
 
 
       ตารางที่ 3   การประเมินความสามารถด้านการบริหารจัดการและแก้ปัญหาราคาสินค้าของรัฐบาล
                       นายกอภิสิทธิ์ฯ

 
ร้อยละ
ดีเยี่ยม
0.0
ค่อนข้างดี
9.2
พอใช้
46.2
ค่อนข้างแย่
35.4
แย่มาก
9.2
 
 
       ตารางที่ 4   ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตรจนถึง
                       สิ้นเดือนเมษายนนี้ เพื่อลดต้นทุนภาคขนส่งเพื่อช่วยชะลอการปรับขึ้นของราคาสินค้า
                       ว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ถูกทางหรือไม่

 
ร้อยละ
เป็นการดำเนินนโยบายที่ ถูกทาง
21.5
เป็นการดำเนินนโยบายที่ ไม่ถูกทาง
โดยแนวทางที่เหมาะสมสำหรับใช้ในช่วงเดือนพฤษภาคม
เป็นต้นไป คือ
       (1)   ปล่อยให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวตามกลไก
              ตลาด 100%
       (2)   ทยอยลดการอุดหนุนราคาน้ำมันเป็นขั้นๆ
              จนเท่ากับราคาตลาดในระยะเวลาที่เหมาะสม
       (3)   ปล่อยให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด
              พร้อมกับการอุดหนุนบางส่วนในสัดส่วนที่
              เหมาะสมกับราคาน้ำมันในตลาดโลก
61.6
ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ
16.9
 
 
       ตารางที่ 5   ความเห็นเกี่ยวกับการที่นายกฯอภิสิทธิ์ จะนำแนวคิดในการปรับเพิ่มค่าแรงเพื่อสร้างความ
                       สมดุลให้ทันกับราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น (ทฤษฏี 2 สูง ของคุณธนินท์ เจียรวนนท์)
                       มาใช้เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน

 
ร้อยละ
เห็นด้วย
เพราะ   (1)   ค่าแรงในปัจจุบันยังต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ
          (2)   เพื่อให้รายได้เพียงพอกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น
          (3)   เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง แต่ต้องมี
                 มาตรการไม่ให้ราคาสินค้าอื่นเพิ่มตาม
33.8
ไม่เห็นด้วย
เพราะ    (1)   เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เพราะจะทำให้เกิด
                 การคาดการณ์เงินเฟ้อ และทำให้ปัญหาเงินเฟ้อ
                 รุนแรงขึ้น สุดท้ายรายได้ก็อาจเพิ่มขึ้นไม่ทันกับ
                 เงินเฟ้ออยู่ดี
          (2)   แรงงานบางส่วนทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
                 เพราะฉะนั้น การเพิ่มค่าแรงจะทำให้ผู้ประกอบการ
                 ลดการจ้างงานกับแรงงานกลุ่มดังกล่าว แล้วหันไป
                 จ้างแรงงานต่างด้าว
          (3)   ควรเพิ่มค่าแรงเฉพาะกับแรงงานทำงานมี
                 ประสิทธิภาพสูงเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ความสามารถ
                 ในการแข่งขันของสินค้าไทยเพิ่มขึ้น
46.2
ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ
20.0
 
 
       ตารางที่ 6   ความเห็นเกี่ยวกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
                       นโยบายเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ

 
ร้อยละ
เห็นด้วย
เพราะ    (1)   เป็นการช่วยชะลอการปรับเพิ่มของเงินเฟ้อที่เกิด
                 จากด้านอุปสงค์ ทำให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหว
                 อย่างมีเสถียรภาพ รวมถึงทำให้เศรษฐกิจเติบโต
                 อย่างมีเสถียรภาพ
          (2)   เป็นการส่งสัญญาณให้เอกชนรับทราบ ป้องกัน
                 การเกิดเงินเฟ้อในรอบที่สอง
          (3)   อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำ และยัง
                 ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น
66.2
ไม่เห็นด้วย
เพราะ   (1)   เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นมาจากด้านอุปทาน จากปัญหา
                 ราคาน้ำมันแพง ราคาสินค้าเกษตรแพง การเพิ่ม
                 อัตราดอกเบี้ยจะเป็นการซ้ำเติมประชาชน
          (2)   เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากด้านอุปสงค์ การเพิ่ม
                 อัตราดอกเบี้ยจะไม่น่าแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้
23.0
ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ
10.8
 

** หมายเหตุ:  รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้   เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                     นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์:
                  1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ
                      โดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
                  2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิด
                      ประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
 
กลุ่มตัวอย่าง:
                        เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
               (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง
               จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ
               ด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจ
               ระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 24 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
               การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง   สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
               สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร   สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์   สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา
               ประเทศไทย   มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง  ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่ง
               ประเทศไทย   ธนาคารกรุงไทย   ธนาคารไทยพาณิชย์  ธนาคารนครหลวงไทย   ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
               บริษัทหลักทรัพย์ภัทร  บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ   บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส   บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน
               บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส   บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ
               คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  
               คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัย
               มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
 
ระเบียบวิธีการสำรวจ:
                        รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายใน
               ระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 14 - 16 มีนาคม 2554
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 17 มีนาคม 2554
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
32
49.3
             หน่วยงานภาคเอกชน
22
33.8
             สถาบันการศึกษา
11
16.9
รวม
65
100.0
เพศ:    
             ชาย
34
52.3
             หญิง
31
47.7
รวม
65
100.0
อายุ:
 
 
             26 – 35 ปี
31
47.6
             36 – 45 ปี
17
26.2
             46 ปีขึ้นไป
17
26.2
รวม
65
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
3
4.6
             ปริญญาโท
49
75.4
             ปริญญาเอก
13
20.0
รวม
65
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
17
26.2
             6 - 10 ปี
22
33.8
             11 - 15 ปี
7
10.8
             16 - 20 ปี
4
6.1
             ตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป
15
23.1
รวม
65
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776