หัวข้อ   “ ชีวิตของแรงงานหลังได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ”
 
ผู้ใช้แรงงานเกือบ 40% ชี้ ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทไม่ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
พร้อมวอนให้รัฐบาลเข้ามาดูแลสวัสดิการของผู้ใช้แรงงานและดูแลให้นายจ้างปฏิบัติ
ตามกฎหมายแรงงาน
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
 
                 เนื่องในวันที่ 1 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้เป็นวันแรงงานแห่งชาติ ศูนย์วิจัย
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ชีวิตของ
แรงงานหลังได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท
”  โดยเก็บข้อมูลจากผู้ใช้แรงงานที่มีอายุ
18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,180 คน  พบว่า ผู้ใช้แรงงาน
ส่วนใหญ่ร้อยละ 79.1 ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันแล้ว
  ขณะที่ร้อยละ 20.9
ยังไม่ได้รับ  โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า กิจการยังไม่อนุมัติปรับขึ้นค่าจ้างให้   เมื่อสอบถาม
ผู้ที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทว่า   ชีวิตการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้   ผู้ใช้แรงงานร้อยละ 82.4 ระบุว่ามีชีวิตการทำงาน
เหมือนเดิม
  ขณะที่ร้อยละ 15.4 ระบุว่าต้องทำงานหนักขึ้น   มีเพียงร้อยละ 1.3 ที่ระบุว่า
ทำงานน้อยลง
 
                 ทั้งนี้ผู้ใช้แรงงานเกือบครึ่ง (ร้อยละ 49.9) ไม่เชื่อว่าการเพิ่มค่าจ้าง
ขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันจะทำให้กิจการที่ทำงานอยู่ต้องประสบกับภาวะขาดทุนหรือเลิกกิจการ  ตรงกันข้ามร้อยละ
23.0 เชื่อว่าจะทำให้กิจการมีกำไรจะเพิ่มขึ้น  และร้อยละ 26.9 เห็นว่าจะกระทบทำให้กำไรลดลงเท่านั้น
  มีเพียง
ร้อยละ 1.4 เห็นว่าขาดทุน   และร้อยละ 0.8 เห็นว่าจะเลิกกิจการ
 
                 สำหรับความเห็นต่อค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันที่รัฐบาลปรับขึ้น จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นหรือไม่
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้  ผู้ใช้แรงงานร้อยละ 39.3 เห็นว่าค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทไม่ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่
ดีขึ้น ในจำนวนนี้ร้อยละ 36.5 เห็นว่าชีวิตความเป็นอยู่จะยังเหมือนเดิม และร้อยละ 2.8 เห็นว่าจะแย่ลง ข้อมูลดังกล่าว
แสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าที่เพิ่มทำให้แรงงานไม่ได้ประโยชน์จากค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนร้อยละ
60.7 เห็นว่าชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น
  ทั้งนี้เมื่อถามต่อว่าค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ
ทางสังคมได้หรือไม่ ร้อยละ 54.9 เห็นว่าจะไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ   ขณะที่ร้อยละ 45.1 เห็นว่าจะช่วยลดความ
เหลื่อมล้ำ
 
                 เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทั่วประเทศ ร้อยละ 93.2
ระบุว่า “เห็นด้วย”
  ขณะที่ร้อยละ 6.8 ระบุว่า “ไม่เห็นด้วย” และเมื่อถามต่อว่ากังวลมากน้อยเพียงใดเกี่ยวกับแรงงาน
ต่างด้าวที่อาจจะเข้ามาแย่งงานคนไทย ร้อยละ 51.4 ระบุว่า “ไม่กังวลเลย”
  ขณะที่ร้อยละ 31.1 ระบุว่า “กังวล
มากถึงมากที่สุด”   และร้อยละ 17.5 ระบุว่า “กังวลน้อยถึงน้อยที่สุด”
 
                 ส่วนเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาดูแล ปรับปรุงแก้ไขมากที่สุด เกี่ยวกับผู้ใช้แรงงาน  พบว่า
อันดับแรก คือ สวัสดิการ (ร้อยละ 32.3)
  รองลงมาคือ ดูแลให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน (ร้อยละ 29.7)
และดูแลคุณภาพชีวิต (ร้อยละ 14.9)
 
                 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
 
             1. ท่านได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ตามที่รัฐบาลประกาศแล้วหรือไม่

 
ร้อยละ
ได้รับแล้ว
79.1
ยังไม่ได้รับ
( โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า กิจการยังไม่อนุมัติปรับขึ้นให้  กิจการรอดู
  ผลประกอบการก่อน และกิจการมีขนาดเล็กไม่สามารถปรับขึ้นให้ได้ )
20.9
 
 
             2. หลังจากมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันแล้ว การทำงานของท่านมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
                 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ (ถามเฉพาะผู้ที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท)

 
ร้อยละ
ทำงานหนักขึ้น
15.4
ทำงานเหมือนเดิม
82.4
ทำงานน้อยลง
1.3
มีปัญหาการทำงานอื่น ได้แก่ ให้ทำงานล่วงเวลาน้อยลง มีระเบียบ
กฎเกณฑ์ของบริษัทเพิ่มมากขึ้น
0.9
 
 
             3. ความเห็นต่อการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จะทำให้กิจการที่สังกัดอยู่เป็นอย่างไร

 
ร้อยละ
กำไรเพิ่มขึ้น
23.0
กำไรลดลง
26.9
ขาดทุน
1.4
เลิกกิจการ
0.8
ไม่ทราบ
47.9
 
 
             4. ความเห็นต่อค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ที่รัฐบาลปรับขึ้น จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของท่าน
                 เป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้

 
ร้อยละ
ดีขึ้น
60.7
เหมือนเดิม
36.5
แย่ลง
2.8
 
 
             5. ความเห็นต่อค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้หรือไม่

 
ร้อยละ
ได้
45.1
ไม่ได้
54.9
 
 
             6. ผู้ใช้แรงงานเห็นด้วยหรือไม่กับการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทั่วประเทศ

 
ร้อยละ
เห็นด้วย
93.2
ไม่เห็นด้วย
6.8
 
 
             7. ผู้ใช้ แรงงานกังวลมากน้อยเพียงใด เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่อาจจะเข้ามาแย่งงานคนไทย

 
ร้อยละ
มากถึงมากที่สุด
( โดยแบ่งเป็นมากที่สุดร้อยละ 8.3  และมากร้อยละ 22.8 )
31.1
น้อยถึงน้อยที่สุด
( โดยแบ่งเป็นน้อยร้อยละ 14.6  และน้อยที่สุดร้อยละ 2.9 )
17.5
ไม่กังวลเลย
51.4
 
 
             8. เรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาดูแล ปรับปรุงแก้ไขมากที่สุด เกี่ยวกับผู้ใช้แรงงาน ได้แก่

 
ร้อยละ
สวัสดิการ
32.3
ดูแลให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน
29.7
ดูแลคุณภาพชีวิต
14.9
ค่าแรง / ค่าจ้าง
11.9
ความปลอดภัยในการทำงาน
6.4
การพัฒนาฝีมือแรงงาน
3.1
อื่นๆ เช่น ให้เก็บเงินประกันสังคมลดลง ลดปัญหาค่าครองชีพ
1.7
 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ:
                  เพื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ใช้แรงงานอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ในประเด็น
เกี่ยวกับชีวิตของแรงงานหลังได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ความกังวลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว  สิ่งที่อยากให้รัฐบาลเข้ามา
ดูแล ปรับปรุงแก้ไข เกี่ยวกับผู้ใช้แรงงาน เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของผู้ใช้แรงงานให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
และนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไป
 
ระเบียบวิธีการสำรวจ:
                  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ด้วยวิธีการ
สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling)  โดยสุ่มจากเขตการปกครองทั้งเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก
ได้แก่ เขตคลองเตย ดินแดง ดุสิต ทุ่งครุ บางกะปิ บางขุนเทียน บางเขน บางคอแหลม บางซื่อ บางนา บางบอน บางพลัด
บางรัก ปทุมวัน ประเวศ ป้อมปราบ พญาไท พระนคร ภาษีเจริญ มีนบุรี ราชเทวี ราษฎร์บูรณะ ลาดกระบัง สวนหลวง สะพานสูง
สาทร หนองจอก และปริมณฑล ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ  จากนั้นจึงสุ่มถนน และประชากรเป้าหมายที่จะ
สัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,180 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 50.2 และเพศหญิงร้อยละ 49.8
 
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error):
                  ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม
ที่มีโครงสร้างแน่นอน โดยเป็นข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นคณะนักวจิัยได้นำแบบสอบถามทุกชุด
มาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล:  23 - 26 เมษายน 2555
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 27 เมษายน 2555
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
เพศ:    
             ชาย
592
50.2
             หญิง
588
49.8
รวม
1,180
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
380
32.2
             26 – 35 ปี
347
29.4
             36 – 45 ปี
229
19.4
             46 ปีขึ้นไป
224
19.0
รวม
1,180
100.0
การศึกษา:
 
 
             ต่ำกว่าปริญญาตรี
1,108
93.9
             ปริญญาตรี
70
5.9
             สูงกว่าปริญญาตรี
2
0.2
รวม
1,180
100.0
อาชีพ:
 
 
             โรงงานอุตสาหกรรม
177
15.0
             กรรมกรก่อสร้าง
65
5.5
             รปภ. / ภารโรง
166
14.1
             แม่บ้าน / คนสวน
190
16.1
             รับจ้างทั่วไป
133
11.3
             ช่างซ่อม
44
3.7
             พนักงานบริการ / นวดแผนโบราณ
139
11.8
             พนักงานขับรถ
53
4.5
             พนักงานขาย
213
18.0
รวม
1,180
100.0
อยู่ในระบบประกันสังคมหรือไม่:
 
 
             อยู่ในระบบประกันสังคม
877
74.3
             ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม
303
25.7
รวม
1,180
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776