หัวข้อ   “นโยบายการเงินของไทยและอัตราแลกเปลี่ยนของจีน”
                 นักเศรษฐศาสตร์เชื่อ ธปท. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ในการประชุม
วันที่ 21 เม.ย. นี้


                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กร
ชั้นนำ 22 แห่ง เรื่อง “นโยบายการเงินของไทยและอัตราแลกเปลี่ยนของจีน” โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่
ร้อยละ 70.3 เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ต่อปีเหมือนเดิม

ในการประชุม 21 เม.ย. นี้ แม้ว่าในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ธปท. จะมีการส่งสัญญาณปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ที่ชัดเจนก็ตาม นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 21.9 สนับสนุนให้รัฐบาล(โดยกระทรวงการคลัง) และ ธปท.
แก้ปัญหาหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(Financial Institutions
Development Fund : FIDF) ที่มีกว่า 1.14 ล้านล้านบาทตามข้อเสนอแนะของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
(สบน.) ด้วยการเสนอให้ ธปท.ซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่มีผลตอบแทนซึ่งจะทำให้รัฐบาลไม่มีภาระดอกเบี้ย
อีกเพียงแต่กำไรของ ธปท. จะลดลงไป


                 ด้านประเด็นที่ธนาคารโลก IMF รวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา กดดันให้ประเทศจีนปรับค่าเงินหยวน
ให้แข็งขึ้นนั้นนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 59.4 เชื่อว่าจีนจะยังคงรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อเงิน
ดอลลาร์สหรัฐไว้ในระดับเดิม
จนถึงสิ้นปีนี้ (พ.ศ. 2553) เป็นอย่างน้อย

                 (โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
 
             1. ความเห็นจากประเด็นถ้อยแถลง ผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)
                 ธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมาซึ่งได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย
                 นโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี อีกทั้งยังส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่าในการประชุม กนง.
                 ครั้งหน้าในวันที่ 21 เม.ย. นี้ หากไม่มีอะไรมากระทบเศรษฐกิจแรง ๆ และตัวเลขเศรษฐกิจ
                 ที่เป็นปัจจัยการพิจารณาดอกเบี้ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็มีโอกาสสูงที่ กนง.
                 จะปรับดอกเบี้ยอาร์/พี พบว่า

 
ร้อยละ
เชื่อว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี
เหมือนเดิม
70.3
เชื่อว่า ธปท. จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นคิดเป็น
ร้อยละ 0.25 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 21 เม.ย. นี้
18.8
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
10.9
 
 
             2. ความเห็นต่อประเด็น แนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนา
                 ระบบสถาบันการเงิน(Financial Institutions Development Fund : FIDF)ที่มีกว่า 1.14
                 ล้านล้านบาท แยกเป็น FIDF1 ประมาณ 4.6 แสนล้านบาทและ FIDF2 ประมาณ 6.7
                 แสนล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหา 3 แนวทางด้วยกันเพื่อให้
                 นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ พบว่า

 
ร้อยละ
สนับสนุนแนวทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) โดยเสนอ
ให้ ธปท.ซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่มีผลตอบแทนจะทำให้รัฐบาล
ไม่มีภาระดอกเบี้ยอีกเพียงแต่กำไรของ ธปท. จะลดลงไป
21.9
สนับสนุนแนวทางการแก้ไขหนี้ FIDF2 จำนวน 6.7 แสนล้านบาท  โดยจะ
แก้กฎหมายพระราชบัญญัติเงินตรา เพื่อให้สามารถนำเงินจากบัญชีสำรอง
พิเศษมาใส่ในบัญชีสำรองเงินตราที่ใช้แบ็กอัพในการออกธนบัตรได้โดยตรง
ในกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลง ก็ให้นำกำไรเข้าไปในบัญชี
สำรองพิเศษ จากเดิมที่กำหนดว่าถ้าขาดทุนให้ใช้เงินจากบัญชีผลประโยชน์
ประจำปีมาใส่ แต่หากมีกำไรก็ให้เข้าบัญชีสำรองพิเศษ
20.3
สนับสนุนแนวทางการแก้ไขหนี้ FIDF1 ที่กฎหมายระบุว่าให้นำกำไรของ
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มาชำระดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ถ้า ธปท.
ไม่มีกำไร ให้รัฐบาลตั้งงบประมาณชำระดอกเบี้ยไปก่อน แล้วแก้ไขด้วย
การใช้วิธีนำเงินจากบัญชีสำรองพิเศษที่มีราว 8.6 แสนล้านบาท มาให้
ธปท.ยืมใช้ชำระหนี้ FIDF1 ราว 4.6 แสนล้านบาท หลังจากนั้นให้ ธปท.
ทยอยใช้คืนในเวลา 5 ปี
10.9
สนับสนุนแนวทางอื่นๆ เช่น
          - เก็บภาษีจากสถาบันการเงินเพื่อมาชดเชยภาระขาดทุน
          - การใช้ดอกผลบัญชีผลประโยชน์ประจำปีมาชำระเงินต้น
4.7
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
42.2
 
 
             3. ความเห็นต่อประเด็นที่ธนาคารโลก IMF รวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา กดดันให้ประเทศจีน
                 ปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้นนั้น พบว่า


 
ร้อยละ
เชื่อว่าจีนจะยังคงรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อเงิน
ดอลลาร์สหรัฐไว้ในระดับเดิมภายในปีนี้ (พ.ศ. 2553) เป็นอย่างน้อย
59.4
เชื่อว่าจีนจะปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส
ที่ 3 ปีนี้
34.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
6.2
 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์:
                  1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ
                      โดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
                  2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิด
                      ประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
 
กลุ่มตัวอย่าง:
                        เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
               (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใด
               อย่างหนึ่ง  จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้
               ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี)  ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจ
               ระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 22 แห่ง ได้แก่   ธนาคารแห่งประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
               การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง   สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
               สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม   สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า   ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
               บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย   ธนาคารไทยพาณิชย์   ธนาคารธนชาต   ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก
               แห่งประเทศไทย   ธนาคารกรุงไทย   บริษัททริสเรทติ้ง   บริษัทหลักทรัพย์ภัทร   บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส
               บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ   บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน   บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน   คณะเศรษฐศาสตร์
               มหาวิทยาลัยทักษิณ   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และ
               นักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                        รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายใน
               ระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 25 - 30 มีนาคม 2553
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 19 เมษายน 2553
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
32
50.0
             หน่วยงานภาคเอกชน
21
32.8
             สถาบันการศึกษา
11
17.2
รวม
64
100.0
เพศ:    
             ชาย
31
48.4
             หญิง
33
51.6
รวม
64
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
1
1.5
             26 – 35 ปี
33
51.6
             36 – 45 ปี
18
28.1
             46 ปีขึ้นไป
12
18.8
รวม
64
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
4
6.3
             ปริญญาโท
50
78.1
             ปริญญาเอก
10
15.6
รวม
64
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
13
20.3
             6 - 10 ปี
22
34.4
             11 - 15 ปี
8
12.5
             16 - 20 ปี
10
15.6
             ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
11
17.2
รวม
64
100.0
 
Vote:  ดีมาก(5) ดี (4) ปานกลาง(3) พอใช้ (2) แย่ (1)  
 ผลคะแนนVote              
 
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776