หัวข้อ   “ความเห็นของผู้ประกอบการต่อการขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย”
                 เนื่องในโอกาสที่รัฐบาลจะจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ
(Thailand Creative Economy Forum :TICEF)  ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อน
พันธสัญญาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของรัฐบาลระหว่างวันที่ 28 – 30 พฤศจิกายน นี้
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
 
                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็น
ของผู้ประกอบการที่มีต่อการขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย โดยเก็บข้อมูล
ระหว่างวันที่ 22-24 พ.ย. ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ประกอบการเพียงร้อยละ 30.2 เท่านั้นที่เข้าใจ
ความหมายของคำว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่เหลือร้อยละ 36.2ยังไม่ค่อยเข้าใจ และร้อยละ
33.6 ไม่เข้าใจเลย นอกจากนี้ผู้ประกอบการมากถึงร้อยละ 64.3 ยังไม่ทราบว่ารัฐบาลได้กำหนด
ให้ใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
 
                 เมื่อสอบถามถึงการนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไปใช้กับกิจการพบว่า
ผู้ประกอบการร้อยละ 47.1   ยังไม่มีการกำหนดแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไว้ในวิสัยทัศน์ /
พันธกิจ/หรือแผนงาน   ในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 42.3   ที่ไม่ได้มีการนำแนวคิดเศรษฐกิจ
สร้างสรรค์ไปใช้กับตัวสินค้าหรือบริการ ส่วนประเภทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผู้ประกอบการ
เห็นว่าเหมาะกับศักยภาพของคนไทยและประเทศไทยที่รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมมากที่สุด  อันดับแรก คือ งานฝีมือและ
หัตถกรรม (ร้อยละ 27.9)  รองลงมาคืองานออกแบบ (ร้อยละ 16.3)   และงานสถาปัตยกรรม (ร้อยละ 14.5)
 
                 สำหรับปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญในการนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาใช้กับกิจการ   คือ  เศรษฐกิจ
สร้างสรรค์เป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทย   ทำให้ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอในการนำไปปรับใช้   รวมทั้งไม่รู้ว่าจะนำไป
ปรับใช้อย่างไร (ร้อยละ 31.8)  และต้องการให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือโดยการจัดอบรมสัมนาและทำ
Workshop  เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ประกอบการ   เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เห็นภาพว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์สามารถ
นำมาใช้ได้จริงกับกิจการที่ทำอยู่ (ร้อยละ 29.9)
   
                 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้อยละ 56.9 สนใจเข้าร่วมงานมหกรรมเศรษฐกิจสรางสรรค์นานาชาติ   โดยคาดหวังว่า
จะได้รับความรู้และไอเดียใหม่ๆ   ที่สามารถนำมาใช้ได้จริงกับกิจการที่ทำอยู่ (ร้อยละ 59.1)  รวมถึงคาดหวังว่าจะได้เห็น
ตัวอย่างนวัตกรรมหรือความคิดสร้างสรรค์จากในประเทศและต่างประเทศที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริง (ร้อยละ 20.7)
 
                 (โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
 
             1. ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์”

 
ร้อยละ
เข้าใจ
30.2
ไม่ค่อยเข้าใจ
36.2
ไม่เข้าใจเลย
33.6
 
 
             2. การรับทราบเกี่ยวกับการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้กำหนดให้ใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นแนวทางหนึ่ง
                 ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ


 
ร้อยละ
ทราบ
35.7
ไม่ทราบ
64.3
 
 
             3. การนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มากำหนดลงในวิสัยทัศน์/พันธกิจ/แผนงานของกิจการและ
                 การนำไปใช้กับการผลิตสินค้า/บริการ


 
ร้อยละ
มีการกำหนดอยู่ในวิสัยทัศน์/พันธกิจ/แผนงาน
    แต่ยังไม่มีการนำไปใช้กับตัวสินค้าหรือบริการ ร้อยละ  8.0
    และมีการนำไปใช้กับตัวสินค้าหรือบริการ ร้อยละ 28.3
36.3
ไม่มีการกำหนดอยู่ในวิสัยทัศน์/พันธกิจ/แผนงาน
     และไม่มีการนำไปใช้กับตัวสินค้าหรือบริการ ร้อยละ 42.3
     แต่มีการนำไปใช้กับตัวสินค้าหรือบริการ ร้อยละ  4.8
47.1
ไม่มั่นใจ/ไม่สามารถตอบได้
16.6
 
 
             4. ความคิดเห็นเกี่ยวกับประเภทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เหมาะกับศักยภาพของคนไทยและ
                 ประเทศไทยที่รัฐบาลควรส่งเสริม

 
ร้อยละ
งานฝีมือและหัตถกรรม
27.9
งานออกแบบ
16.3
สถาปัตยกรรม
14.5
ธุรกิจโฆษณา
10.9
แฟชั่น
9.8
ศิลปะการแสดง
8.8
ภาพยนตร์และวีดีโอ
5.0
ธุรกิจการพิมพ์
4.5
การกระจายเสียง
2.3
 
 
             5. ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญในการนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาใช้กับกิจการที่ดำเนินอยู่
                 (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

 
ร้อยละ
1. เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทย ทำให้
    ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอในการนำไปปรับใช้ รวมทั้งไม่รู้ว่าจะนำไป
    ปรับใช้อย่างไร
31.8
2. พนักงานของกิจการยังไม่มีความพร้อมในการที่จะสร้างสรรค์ความรู้ให้เกิด
    ประโยชน์ รวมถึงการนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน นอกจากนี้พนักงาน
    ยังมีแนวความคิดเดิมๆ ไม่เปิดรับสิ่งใหม่ และไม่ให้ความร่วมมือด้วย
    ในส่วนของเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารบางส่วนก็ยังมีทัศนคติที่
    ไม่ยอมรับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
25.4
3. กิจการขาดแคลนเงินทุนในการศึกษาวิจัยหรือคิดค้นนวัตกรรมอันเกิด
    จากความคิดสร้างสรรค์
14.5
4. ระบบการศึกษาไทยยังไม่ส่งเสริมให้มีการใช้ความคิดในเชิงสร้างสรรค์
    ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติที่ไม่เอื้อต่อการเปิดรับแนวคิดใน
    เชิงสร้างสรรค์
9.8
 
 
             6. สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือในการนำแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์
                 มาใช้กับกิจการ (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

 
ร้อยละ
1. จัดอบรมสัมนาและทำ Workshop เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับ
    ผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เห็นภาพว่าเศรษฐกิจ
    สร้างสรรค์สามารถนำมาใช้ได้จริงกับกิจการที่ทำอยู่
29.9
2. ต้องการให้รัฐเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ
    สร้างสรรค์ให้มากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจ
    สร้างสรรค์มีความสำคัญอย่างไร
21.2
3. สนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาให้กับผู้ประกอบการ รวมถึง
    การปรับลดภาษีให้กับกิจการที่มีการคิดค้นนวัตกรรมอันเกิดจากความคิด
    สร้างสรรค์
16.8
4. พัฒนาคนให้มีความคิดที่สร้างสรรค์ด้วยการปรับปรุงระบบการเรียน
    การสอน ระบบการคิด รวมถึงการปรับทัศนคติเชิงบวกให้กับคนไทย
    เพื่อการเปิดรับความคิดสร้างสรรค์
10.9
 
 
             7. ความสนใจที่จะเข้าร่วมงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ ซึ่งรัฐบาลกำหนดจัดขึ้น
                 ในวันที่ 28-30 พฤศจิกายนนี้ ที่ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์


 
ร้อยละ
สนใจ
56.9
ไม่สนใจ
43.1
 
 
             8. สิ่งที่คาดหวังว่าจะได้รับจากการเข้าร่วมงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ
                 (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

 
ร้อยละ
1. ได้รับความรู้และไอเดียใหม่ๆ ที่จะสามารถนำมาใช้ได้จริงกับ
    กิจการที่ทำอยู่
59.1
2. คาดว่าจะได้เห็นตัวอย่างนวัตกรรมหรือความคิดสร้างสรรค์จากใน
    ประเทศและต่างประเทศ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริง
20.7
3. คาดว่าจะมีการจัดสัมมนา Workshop ที่สามารถนำมาใช้ได้จริง
    กับกิจการ
5.0
4. คาดว่าจะมีบูธให้คำแนะนำด้านการตลาด ด้านการเงินภายในงาน ไม่ว่า
    จะเป็นเงินทุนเพื่อการคิดค้นและพัฒนา รวมถึงเงินทุนหมุนเวียน
4.4
 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
ระเบียบวิธีการสำรวจ:
                  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากผู้ประกอบการในกิจการประเภทต่างๆ จำนวน 7 กลุ่ม ประกอบด้วย
(1) กลุ่มแฟชั่น    (2) กลุ่มก่อสร้าง   (3) กลุ่มยานยนต์และเครื่องจักรกล   (4) กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
(5) กลุ่มอาหารและยา   (6) กลุ่มบริการและบริการการค้า    (7) กลุ่มสนับสนุน    โดยการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความ
สะดวก และใช้วิธีเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์  ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 462 กิจการ
 
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error):
                  ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  5% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน
ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal)  และคำถามปลายเปิด (Open Form)  จากนั้นคณะนักวิจัย
ได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 22 - 24   พฤศจิกายน 2553
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 26 พฤศจิกายน 2553
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
เพศ:    
             ชาย
148
32.0
             หญิง
314
68.0
รวม
462
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
36
7.8
             26 – 35 ปี
190
41.2
             36 – 45 ปี
134
29.0
             46 ปีขึ้นไป
102
22.0
รวม
462
100.0
การศึกษา:
 
 
             ต่ำกว่าปริญญาตรี
61
13.3
             ปริญญาตรี
327
70.7
             สูงกว่าปริญญาตรี
74
16.0
รวม
462
100.0
ตำแหน่ง:
 
 
             เจ้าของกิจการ/ผู้บริหาร
133
28.8
             หัวหน้างาน
152
32.9
             พนักงานระดับปฎิบัติการ
177
38.3
รวม
462
100.0
ตำแหน่ง:
 
 
             กิจการขนาดเล็ก (จำนวนพนักงาน 1-49 คน)
238
51.5
             กิจการขนาดกลาง (จำนวนพนักงาน 50-199 คน)
120
25.9
             กิจการขนาดใหญ่ (จำนวนพนักงาน 200 คนขึ้นไป)
104
22.6
รวม
462
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776