analyticstracking
ผลสำรวจเรื่อง “คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19
                           คลี่คลาย (ครั้งที่ 3) ”
           ประชาชนเห็นโอกาสสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
    จากการสำรวจช่วง มี.ค. 2565 จาก ร้อยละ 46.0 เพิ่มเป็นร้อยละ 57.7

           สำหรับเหตุผลหลักที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองคือ ยังไม่มีเงินทุนมากพอ

           ส่วนใหญ่ร้อยละ 63.2 เชื่อหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะทำให้คนอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่
    ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
 
 
 
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
                  กรุงเทพโพลล์ร่วมกับคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาส
ในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย (ครั้งที่ 3)”
โดยเก็บ
ข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,121 คน พบว่า
 
                  จากการสำรวจความเห็นเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็น
ผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ) ครั้งที่ 3 โดยได้ทำการเปรียบเทียบกับการสำรวจ
ครั้งที่ 2 (ช่วงเดือน มี.ค. 2565) ในประเด็นต่างๆ พบว่า ประชาชนเห็นโอกาส
หรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคตมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 57.7
(โดยเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ 2 ร้อยละ 11.7)
รองลงมาคือ มีความตั้งใจที่จะ
ประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้า คิดเป็นร้อยละ 53.1 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8) และเห็นว่า
ตนเองมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการที่จะเริ่มทำ
ธุรกิจใหม่ คิดเป็นร้อยละ 51.7 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8) ขณะที่เห็นว่าไม่อยากลงทุนทำ
ธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว คิดเป็นร้อยละ 64.2 (เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.9)
 
                  ทั้งนี้สาเหตุที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากที่สุดคือ ไม่มีเงินทุน
มากพอ คิดเป็นร้อยละ 46.1
รองลงมาคือ กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน คิดเป็นร้อยละ 42.5 น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาสูงขึ้น
คิดเป็นร้อยละ 40.6 กลัวทำแล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ คิดเป็นร้อยละ 33.9 และคิดว่างาน
ที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว คิดเป็นร้อยละ 31.7
 
                  สุดท้ายเมื่อถามความเห็นต่อสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายจะทำให้อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่มากน้อย
เพียงใด ส่วนใหญ่ร้อยละ 63.2 ทำให้อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
ขณะที่ร้อยละ 36.8 ทำให้
อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
 
 
                  โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
             1. ประเด็นคำถามเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ)

คำถาม
สำรวจ
(มิ.ย.65)
สำรวจ
(มี.ค.65)
เพิ่มขึ้น/
ลดลง
ร้อยละ
ร้อยละ
ร้อยละ
ท่านเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคต
57.7
46.0
+11.7
ท่านมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้า
53.1
42.3
+10.8
ตัวท่านมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นใน
การที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่
51.7
39.9
+11.8
รู้จักผู้ประกอบการหรือมีเครือข่ายที่สามารถสนับสนุนในการริเริ่มธุรกิจ
44.4
37.5
+6.9
คิดว่าการเริ่มต้นธุรกิจใหม่เป็นสิ่งที่ง่ายในสถานการณ์ขณะนี้
16.1
9.2
+6.9
ไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว
64.2
62.3
+1.9
 
 
             2. สาเหตุที่ท่านไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวท่านเอง (สามารถเลือกตอบได้มากกว่า1 ข้อ)

 
ร้อยละ
ไม่มีเงินทุนมากพอ
46.1
กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน
42.5
น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาสูงขึ้น
40.6
กลัวทำแล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ
33.9
คิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว
31.7
หากไม่สำเร็จกลัวคนในครอบครัวจะเดือดร้อน แบกภาระหนี้ร่วมกัน
27.1
ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ
27.1
ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำธุรกิจอะไรดี
22.5
คิดว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่
16.3
กลัวการเริ่มต้นว่าจะทำไม่ได้
11.8
อื่นๆ อาทิ เศรษฐกิจไม่ดี สุขภาพไม่ดี คนไม่มีกำลังซื้อ ฯลฯ
8.3
 
 
             3. ความเห็นต่อสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายจะทำให้อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่มากน้อยเพียงใด

 
ร้อยละ
ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
(โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างมาก ร้อยละ 45.6 และมากที่สุด ร้อยละ 17.6)
63.2
ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
(โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างน้อย ร้อยละ 32.8 และน้อยที่สุด ร้อยละ 4.0)
36.8
 
 
รายละเอียดการสำรวจ
วัตถุประสงค์การสำรวจ:
                  เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ
ของคนไทย ครั้งที่ 3 ในประเด็นต่างๆ รวมถึงเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้าเริ่มธุรกิจเป็นของตนเอง ทั้งนี้เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็น
ของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
 
ประชากรที่สนใจศึกษา:
                  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนัก
ด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
 
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error):
                  ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  3 ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็น
แบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอนประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นจึงนำแบบสอบถาม
ทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล:  : 30 พฤษภาคม-2 มิถุนายน 2565
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 11 มิถุนายน 2565
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
เพศ:
   
             ชาย
578
51.6
             หญิง
543
48.4
รวม
1,121
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 30 ปี
85
7.6
             31 – 40 ปี
163
14.5
             41 – 50 ปี
266
23.7
             51 – 60 ปี
303
27.0
             61 ปีขึ้นไป
304
27.2
รวม
1,121
100.0
การศึกษา:
 
 
             ต่ำกว่าปริญญาตรี
701
62.5
             ปริญญาตรี
332
29.6
             สูงกว่าปริญญาตรี
88
7.9
รวม
1,121
100.0
อาชีพ:
   
             ลูกจ้างรัฐบาล
115
10.3
             ลูกจ้างเอกชน
206
18.4
             ค้าขาย/ ทำงานส่วนตัว/ เกษตรกร
485
43.2
             เจ้าของกิจการ/ นายจ้าง
88
7.9
             ทำงานให้ครอบครัว
2
0.2
             พ่อบ้าน / แม่บ้าน / เกษียณอายุ
192
17.1
             นักเรียน/ นักศึกษา
8
0.7
             ว่างงาน
25
2.2
รวม
1,121
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)    โทร. 02-407-3888 ต่อ 2897,2898